Premier League : ทีมรวมนักฟุตบอลมูลค่าสูงสุดตลอดกาล [ตอนจบ]

กลับมาพบกันอีกครั้งสำหรับการรวมนักฟุตบอลมูลค่าสูงสุดตลอดกาล Premier League บทความที่แล้วเป็นผู้เล่นเกมรับซึ่งถือว่า Dream Team มากๆแล้ว วันนี้ผู้เขียนจะพาเพื่อนๆมาดูผู้เล่นในอีกสองตำแหน่งกันบ้าง บอกได้คำเดียวว่าแต่ละคนนั้น…..Super Dream Team!!!

ก่อนอื่นต้องขอเกริ่นสักนิดหน่อยว่าการประเมินค่าตัวหรือการวัดมูลค่าของผู้เล่นเกมรุก โดยปกติแล้วจะถูกตั้งไว้สูงกว่าผู้เล่นเกมรับ เนื่องจากเป็นตำแหน่งที่หมายถึงการผลิตประตู ยิ่งยิงได้เยอะผู้ชมก็ยิ่งชอบ! โดยเฉพาะกับลีกยอดนิยมสูงสุดอย่าง Premier League แล้วนั้น….จะมีอะไรสำคัญไปกว่าการได้เห็นทีมที่รักเล่นเกมบุกที่เร้าใจและทะลวงกองหลังคู่ต่อสู้จนหลุดลุ่ย!!

สองตำแหน่งที่เราพูดถึงกันในบทความนี้ก็คือ “กองกลาง (Midfielder)” ส่วนใหญ่จะเป็นกองกลางที่ถนัดเกมรุก (Attacking Midfielder) ทั้งนั้น และตำแหน่ง “กองหน้า (Forward)”

ทีมรวมนักฟุตบอลมูลค่าสูงสุดตลอดกาล Premier League

– กองกลาง (Midfielder)

ธรรมชาติของผู้เล่นกองกลาง (Midfielder) โดยปกติแล้วจะมีอยู่ 2 ลักษณะคือกองกลางที่ถนัดเล่นเกมรับกับถนัดเล่นเกมรุก และอย่างที่เกริ่นไปก่อนหน้านี้ว่าถึงอย่างไรแล้ว ผู้เล่นที่ถนัดเชิงรุกจะถูกตีมูลค่าสูงกว่าอยู่เสมอ

เพราะฉะนั้นจึงไม่น่าแปลกใจว่า 3 กองกลางที่ติดทีมมูลค่าสูงสุดตลอดกาล Premier League จะเป็นกองกลางตัวรุก (Attacking Midfielder) 2 คนและกองกลางตัวรับ (Defending Midfielder) 1 คน

Rodri (Manchester City) – 63 ล้านปอนด์

ถ้าหากกล่าวว่า “เกมรุกต้องแพงกว่าเกมรับ” ค่าตัว 63 ล้านปอนด์ที่ Manchester City ยอมควักจ่ายให้กับ Atlético Madrid ในการเป็นค่าตัวของ “Rodrigo Hernández Cascante” หรือที่ทุกคนรู้จักกันในนามของ “Rodri” ก็เป็นสิ่งที่ภาคภูมิใจไม่น้อยสำหรับกองกลางชาว Spain คนนี้

เส้นทางชีวิตของกองกลางวัย 25 ปีรายนี้ เริ่มต้นเป็นนักเตะเยาวชนกับ Atlético Madrid ก่อนที่จะย้ายไปเล่นทีมชุดใหญ่ให้กับ Villarreal สโมสรร่วมศึก La Liga ในปี 2015 หลังจากบ่มเพาะวิชาอยู่ 4 ปีสโมสรแม่อย่าง Atlético Madrid จึงตัดสินใจดึงกลับมาร่วมทีมอีกครั้ง

เพียงแค่ฤดูกาลเดียวในถิ่น Estadio Metropolitano ผลงานของ Rodri โดดเด่นจนไปเตะตา Pep Guardiola นายใหญ่แห่งถิ่น Etihad Stadium และเซ็นสัญญาคว้าตัวเขามาสำเร็จในปี 2019

ด้วยฟอร์มการเล่นที่สม่ำเสมอและการแย่งบอลจากเท้าของคู่ต่อสู้ได้ดี จึงทำให้ Rodri เป็นหนึ่งในกองกลางตัวรับที่ดีที่สุดในโลก ณ เวลานี้ โดยตอนนี้เขาเล่นให้กับ Manchester City ไปแล้วราว 70 นัดทำไปทั้งหมด 5 ประตู

Kai Havertz (Chelsea) – 70 ล้านปอนด์

Kai Havertz คือหนึ่งในผู้เล่นที่หลายคนควรเอาเป็นแบบอย่างในเรื่องของการไม่ยอมแพ้ เพราะการที่ตัวเขาย้ายจาก Bayer Leverkusen ทีมดังในศึก Bundesliga ลีกสูงสุดของ Germany มาเล่นใน Premier League ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เนื่องจากสไตล์การเล่นที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

Havertz ต้องอดทนต่อเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมายในฤดูกาลแรกที่มาเล่นในแดนผู้ดี แต่ตัวเขาก็พยายามใช้ผลงานในสนามเป็นเครื่องพิสูจน์ก่อนท้ายที่สุดเขาจะเป็นผู้ชนะด้วยการนำ Chelsea ค้วาแชมป์ฟุตบอล UEFA Champion League ได้สำเร็จในฤดูกาลที่แล้วภายใต้การคุมทีมของกุนซือชาติเดียวกับเขาอย่าง Thomas Tuchel

ส่วนหนึ่งคงต้องยกเครดิตให้กับ Thomas Tuchel ด้วยที่รู้จักวิธีใช้ Havertz ว่าควรจะอยู่ในสถานะใดในช่วงเวลานั้นๆ ลงเล่นตัวจริงบ้าง สำรองบ้าง เพื่อเรียกความกระหายในตัวนักเตะออกมา และตัวเขาก็ตอบแทนความไว้วางใจของกุนซือได้เป็นอย่างดี

ดีกรีในระดับชาติของ Havertz ก็ไม่ธรรมดา ติดทีมชาติ Germany ตั้งแต่ U16, U17, U19 และก้าวขั้นสู่ทีมชุดใหญ่ด้วยวัยเพียง 19 ปี ทำไปแล้ว 5 ประตูจากการลงเล่น 18 นัดในนามทีมชาติ

Paul Pogba (Manchester United) – 89 ล้านปอนด์

เรื่องราวของ Paul Pogba กองกลางจอมศิลปินคนนี้แทบจะเอาไปสร้างเป็นละครหนึ่งเรื่องได้เลย มีหลากหลายมุมจากหลากหลายฝ่ายที่บ่มเพาะให้ตัวเขาก้าวขึ้นมาเป็น SuperStar ที่ยังไม่สุด

เนื่องจากแรกเริ่มเดิมที ตัวเขาเป็นผู้เล่นในระดับเยาวชนของ Manchester United และโชว์ผลงานได้อย่างโดดเด่น เพียงแค่ปีแรกในการลงเล่นในทีมชุดใหญ่ตัวเขาไม่ได้รับโอกาสลงสนามมากเท่าที่ควร สโมสรจึงตัดสินใจปล่อยไปให้กับ Juventus ยักษ์ใหญ่แห่ง Seria A ลีกสูงสุดของ Italy แบบไม่มีค่าตัวในปี 2012

แต่แล้วหลังจากนั้น 4 ปี Manchester United ก็ได้ทำสิ่งที่ใครหลายคนถึงกับอุทานออกมาว่า……เลย เพราะพวกเขาตัดสินใจซื้อ Paul Pogba กลับมาด้วยค่าตัวถึง 89 ล้านปอนด์ และเหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัดสำหรับตัวเขา เพราะทุกวันนี้ยังไม่สามารถชนะใจแฟนบอลปีศาจแดงได้เท่าที่ควร

ด้วยความเป็นศิลปินลูกหนังของตัวเขาทำให้ฟอร์มการเล่นออกมาไม่สม่ำเสมอ บางนัดเล่นดีก็ดีใจหาย บางนัดจะเหนื่อยก็หยุดวิ่งไล่บอลไปซะดื้อๆ บ่อยครั้งที่ชอบ Show-off ครองบอลอยู่ในแดนตัวเองจนทำให้คู่ต่อสู้ขโมยบอลไปทำประตู

แถมยังมีข่าวย้ายทีมแทบจะทุกสัปดาห์ เพราะฉะนั้นจึงไม่น่าแปลกใจว่าบรรดาเหล่าสาวก Red Devil จำนวนไม่น้อยไม่ค่อยชื่นชอบในตัว Pogba เท่าใดนัก

– กองหน้า (Forward)

ทุกยุคทุกสมัยใน Premier League จะมีผู้เล่นระดับตำนานในตำแหน่งกองหน้าไม่ว่าจะเป็น Andy Cole กับ Dwight Yorke ที่พา Manchester United ครองความยิ่งใหญ่หลายปีติดต่อกัน หรือจะเป็นคู่ของ Son Hueng Min กับ Harry Kane ที่ช่วยกันถล่มประตูให้กับ Tottenham Hotspur เป็นว่าเล่นในยุคปัจจุบัน

แต่ในสมัยนี้กองหน้าคู่ที่เป็นขนานแท้ดั้งเดิมหาค่อนข้างยากด้วยระบบการเล่นที่เปลี่ยนแปลงไปเป็น 4-3-3 ซะเป็นส่วนใหญ่ เพราะฉะนั้นกองหน้าทั้ง 3 คนในทีมรวมนักฟุตบอลมูลค่าสูงสุดตลอดกาล Premier League จึงเป็นตำแหน่งริมเส้น (Winger) อยู่ 2 คนและเป็นกองหน้าตัวเป้า (Striker) หนึ่งคน

Jadon Sancho (Manchester United) – 73 ล้านปอนด์

เพื่อนๆหลายคนคงยังไม่ทราบว่าแท้จริงแล้วปีกขวาจอมพริ้วอย่าง Jadon Sancho ก่อนที่จะไปโด่งดังอยู่ใน Bundesliga กับสโมสร Borussia Dortmund ตัวเขาเคยเล่นทีมเยาวชนกับทีมคู่อริตลอดกาลของเมืองอย่าง Manchester City ในช่วงปี 2015-2017

ปัจจุบันด้วยวัยเพียง 21 ปีจึงเป็นที่น่าจับตามองเสียเหลือเกินว่าตัวเขาจะไปได้ไกลขนาดไหน เพราะผลงานที่ Sancho ฝากไว้ในถิ่นเมืองเบียร์ถือว่าสุดยอดมากๆกับการเป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งต้องไปเล่นในต่างแดนตั้งแต่อายุยังไม่ ครบ 20 ปีบริบูรณ์

เขาลงเล่นให้กับ Borussia Dortmund ไปทั้งหมด 104 นัดในช่วง 4 ฤดูกาลและทำไปได้ 38 ประตู ส่วนในระดับทีมชาติ Sancho ติดทัพสิงโตคำรามตั้งแต่อายุ 17 ปีจนถึงตอนนี้เขาลงเล่นในนามทีมชาติ England ไปแล้วถึง 22 นัดและทำไปได้ 3 ประตู เขาคือหนึ่งในขุนพลที่ได้รองแชมป์ฟุตบอล Euro 2020 ที่ผ่านมาอีกด้วย

สิ่งแรกที่ Jadon Sancho ต้องทำในถิ่น Old Trafford ก็คงเป็นการปรับตัวให้เข้ากับสไตล์การเล่นของ Manchester United ให้ได้ แต่เหล่าสาวก Red Devil ทั้งหลายเชื่อว่าด้วยวัยเพียง 21 ปีของเขา ถ้าจูนติดเมื่อใด….เครื่องคงติดไนตรัสเทอร์โบแน่นอน!!!

Jack Grealish (Manchester City) – 100 ล้านปอนด์

ความเชื่อที่ว่าเมื่อถึงวัยเบญจเพศจะมีเรื่องเข้ามาในชีวิต ถ้าไม่แย่สุดติ่งก็ดีสุดขั้วไปเลย เพราะฉะนั้นด้วยวัย 25 ปีของ Jack Grealish คงพูดอะไรไปไม่ได้นอกจากคำว่า “จุดสูงสุด”

ทันทีที่ Grealish จรดปากกาเซ็นสัญญากับ Manchester City เป็นระยะเวลา 6 ปีด้วยค่าตัว 100 ล้านปอนด์ ทำให้เขากลายเป็นผู้เล่นที่มีค่าตัวแพงที่สุดใน Premier League แซงหน้า Paul Pogba ที่ย้ายจาก Juventus มาร่วมทีม Manchester United เมื่อปี 2016 ด้วยค่าตัว 89 ล้านปอนด์

เขาขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ของ Aston Villa ด้วยวัยเพียง 16 ปีก่อนที่จะก้าวขึ้นมาเป็นกัปตันทีมในช่วงสองฤดูกาลที่ผ่านมา ทำสถิติลงเล่นไปทั้งหมด 185 นัดยิงไป 29 ประตูตลอด 9 ฤดูกาลที่อยู่กับทัพสิงห์ผยอง

การที่ Manchester City ยอมจ่ายค่าตัวมหาศาลขนาดนี้พร้อมมอบเบอร์ 10 ให้กับเขา คงต้องเห็นอะไรที่เจิดจรัสในตัวของ Jack Grealish และคงไม่ได้เอานักเตะค่าตัวแตะหลัก 100 ล้านปอนด์มานั่งอยู่ข้างสนามเป็นแน่ เพราะฉะนั้นคนที่ต้องร้อนๆหนาวๆในถิ่น Etihad Stadium ก็คือ Raheem Sterling รุ่นพี่ในทีมชาติซึ่งที่เป็นเจ้าของตำแหน่งเดิมนั่นก็คือตัวรุกริมเส้นฝั่งซ้าย

Romelu Lukaku (Chelsea) – 97 ล้านปอนด์

Romelu Lukaku เรียกได้ว่าเป็นกองหน้าแนว Striker คือโป้งเดียวปิดบัญชีอย่างแท้จริง เท้าซ้ายของเขาทรงพลังแม้กระทั่งอดีตเพื่อนร่วมทีมของเขาที่ Inter Milan อย่าง Christian Eriksen เคยกล่าวไว้ว่า “ถ้าคุณคิดอะไรไม่ออกให้ส่งบอลไปที่ Lukaku เดี๋ยวเขาจะจัดให้เอง!!”

ถ้าเทียบแล้วกรณีของ Romelu Lukaku กับ Chelsea คล้ายคลึงกับกรณี Paul Pogba ของ Manchester United แต่ต่างกันตรงที่ว่า Lukaku ย้ายออกด้วยค่าตัวที่พอสมน้ำสมเนื้อไปอยู่กับ Everton ในปี 2014

เขาระเบิดฟอร์มซัดไป 53 ประตูจากการลงเล่น 110 นัดให้กับท็อฟฟี่สีน้ำเงิน ก่อนที่จะย้ายมาอยู่กับ Manchester United ในปี 2017 และตลอด 2 ปีเขาทำประตูให้ทีมอย่างต่อเนื่องกดไป 28 ประตูจาก 66 นัด แต่ด้วยสไตล์การเล่น อาจจะไม่เข้ากับระบบทีมของ José Mourinho กุนซือของพวกเขาในเวลานั้น ทำให้ตัดสินใจขายให้กับ Inter Milan ในปี 2019

ฤดูกาลที่แล้ว Lukaku โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมพาต้นสังกัตคว้าแชมป์ Seria A ได้สำเร็จก่อนที่จะทีมเก่าที่เขาเคยค้าแข้งในช่วงปี 2011-2014 อย่าง Chelsea จะทุ่มเงิน 97 ล้านปอนด์พา Romelu Lukaku กลับบ้านมาเล่นในถิ่น Stamford Bridge อีกครั้ง

ขอขอบคุณข้อมูล : https://www.goal.com/th

บทความที่น่าสนใจ : https://www.thekooroo.com/content/

Leave a Reply