5 ประเภทยางมอเตอร์ไซค์ ยอดนิยมปี 2021

ยางมอเตอร์ไซค์ มีกี่ประเภท
Credit : metzeler.com

พูดถึงยางมอเตอร์ไซค์ เชื่อว่าหลายคนต่างรู้จักและเคยเห็นกันมาอยู่เป็นประจำในรถมอเตอร์ไซค์หลายๆรุ่น หลากหลายยี่ห้อ หลากหลายหน้าตา และหลากหลายขนาด ซึ่งก็มีตั้งแต่ขนาดเล็กที่ใช้กับรถมอเตอร์ไซค์แม่บ้าน ไปจนถึงยางขนาดใหญ่สำหรับรถมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์ แน่นอนว่ายางนั้น เปรียบได้เหมือนรองเท้าของเรา ซึ่งก็มีรองเท้าหลายแบบ หลายประเภท หลายยี่ห้อ ให้เราเลือกซื้อใช้ตามลักษณะการใช้งาน ซึ่งยางของมอเตอร์ไซค์ก็เช่นกัน มีการแยกประเภทการใช้งานของยางว่ามีประเภทอะไรบ้าง แต่ละประเภทใช้งานอะไรบ้าง รวมไปถึงราคายางที่มีตั้งแต่หลักพันต้นๆ ไปจนถึงหลักหมื่น และรถมอเตอร์ไซค์คันโปรดของเราละ ควรใช้ยางประเภทไหนถึงจะเหมาะกับเราที่สุด ในบทความนี้ thekooroo.com มีประเภทของยางที่ทางทีมงานได้รวบรวมไว้ และแยกเป็นประเภทไว้เป็น 5 ประเภทยางมอเตอร์ไซค์ ยอดนิยมปี 2021 เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจง่าย พร้อมกับหากใครที่มีมอเตอร์ไซค์คันโปรดอยู่แล้ว หรือกำลังมองดูยางคู่ต่อไปสำหรับรถมอเตอร์ไซค์ของตัวเองอยู่ จะได้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้นอีกด้วย


1. ยางสปอร์ท (Sport Tire)

ยางสปอร์ท (Sport Tire) แน่นอนว่า หากอ่านตามชื่อแล้ว หลายๆคนน่าจะรู้ได้ในทันทีว่า เป็นยางสำหรับรถมอเตอร์ไซค์สไตล์สปอร์ท แต่จริงๆแล้วยางประเภทนี้ ไม่จำเป็นจะต้องใช้เฉพาะในรถมอเตอร์ไซค์แบบสปอร์ทเสมอไป ซึ่งคุณสมบัติของยางสปอร์ทนั้น ส่วนใหญ่ทางผู้ผลิตหลายๆแบรนด์ในโลก จะพัฒนายางของแบรนด์ตัวเองมาจากรถมอเตอร์ไซค์ที่ใช้แข่งขันในสนาม และนำประสบการณ์จากในสนามมาพัฒนาต่อยอดเป็นยางสำหรับ รถมอเตอร์ไซค์ประเภทไหนก็ได้ที่ต้องการใช้ความเร็ว ทั้งในทางตรง และทางโค้ง เพื่อความยึดเกาะถนนที่ดีรวมไปถึงความมั่นใจในการขับขี่ ซึ่งยางมอเตอร์ไซค์แบบสปอร์ท ไม่จำเป็นต้องใส่เฉพาะในรถมอเตอร์ไซค์แบบสปอร์ท อาจจะนำไปใส่เพื่อความสวยงามของรถมอเตอร์ไซค์คันโปรด เพราะเนื่องจากยางสปอร์ทนั้น นอกจากจะมีความเหนียวหนึบในการยึดเกาะที่ดีเยี่ยมแล้ว ยังมีลายยางที่สวยงามอีกด้วย และแน่นอนว่า คุณภาพ+ความสวยงาม แลกมากับราคาที่สูงขึ้นตามเงา แน่นอนว่า สามารถนำมาใช้ในการแข่งขันในสนามแข่งได้อีกด้วย

ยี่ห้อรุ่นขนาดราคา /คู่
PirelliDiablo Supercorsa SC120/70zr17 – 180/55zr1717,000
MichelinPower Cup120/70zr17 – 180/55zr1716,000
MetzelerRACTC-RR120/70zr17 – 180/55zr1714,200

2. ยางถนน (Street Tire)

ยางถนน (Street Tire) ยางประเภทนี้เหมาะมากกับการใช้งานทั่วไปที่สุด ไม่ว่าจะออกทริป ขี่ใช้งานในชีวิตประจำวัน ยางถนนเหมาะมากๆ เนื่องจากยางประเภทนี้ ถูกพัฒนาให้มีเนื้อยางที่ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางโค้ง ก็สามารถมั่นใจได้ว่า ยางมีคุณสมบัติที่ดีในการเกาะถนน แต่อาจมีคุณสมบัติไม่เทียบเท่ากับยางสปอร์ท แต่จุดเด่นหลักๆของยางถนน ที่เหนือกว่ายางแบบสปอร์ท คือ เนื้อยางที่มีความคงทนต่อสภาพอากาศและสภาพถนนมากกว่า อายุการใช้งานนานกว่า เนื้อยางหมดช้ากว่า ซึ่งในยางถนนนี้ ก็จะถูกแยกย่อยประเภทของยางออกมาอีก เช่น

  • ยางสปอร์ทสตรีท (Sport street) : ยางถนนลายสปอร์ท ทนทานกว่ายางสปอร์ทขึ้น ราคาถูกกว่ายางแบบสปอร์ท
  • ยางครุยเซอร์ (Cruiser Tire): ยางสำหรับรถมอเตอร์ไซค์แบบครุยเซอร์หรือสไตล์ช็อปเปอร์ ซึ่งมีขนาดลงล้อหน้าหลังไม่เท่ากัน
  • ยางแอ๊ดเวนเจอร์ (Adventure Tire): ยางสำหรับรถเดินทางไกล ซึ่งสามารถรับน้ำหนักได้ค่อนข้างมาก และทางดินได้บ้าง
ยี่ห้อรุ่นขนาดราคา /คู่
PirelliAngle GT120/70zr17 – 180/55zr1712,000
MetzelerRoadtec Z8120/70zr17 – 180/55zr179,500

3. ยางฝน (Rain Tire)

ยางฝน (Rain Tire) มีเอกลักษณ์ที่เด่นชัด คือลายยางที่ค่อนข้างมาก ถูกออกแบบให้รีดน้ำได้ดีที่สุด โดยสูญเสียความยึดเกาะน้อยที่สุด ซึ่งยางประเภทนี้ ส่วนใหญ่นิยมใช้ในการแข่งขันในสนามแข่งที่มีฝนตกหรือสนามแฉะ โดยพัฒนามาจากยังสลิค ยางที่ใช้เฉพาะในสนามแข่งขัน นำมาเซาะร่องเพื่อให้เกิดการรีดน้ำที่ดีและรวดเร็ว และยางประเภทนี้ จริงๆแล้วไม่ได้ถูกผลิตและจำหน่ายเพื่อให้รถมอเตอร์ไซค์ทั่วไปได้ใช้สักเท่าไหร่ หากใครที่สนใจยางฝน ทางแบรนด์ผู้ผลิตยางก็มีรองรับความต้องการเช่นกัน แต่จะถูกผลิตขึ้นในรูปแบบยางถนนที่แยกคุณสมบัติชัดเจนว่า ยางรุ่นไหนของแบรด์รีดน้ำได้ดี เช่น Michelin Road4, Pirelli Angel City ทำให้ผู้ใช้รถมอเตอร์ไซค์ สามารถเลือกซื้อยางได้ถูกกับลักษณะอากาศและภูมิประเทศ ทำให้ปลอดภัยในการขับขี่ยิ่งขึ้น

ยี่ห้อรุ่นขนาดราคา /คู่
MichelinRoad 5120/70zr17 – 160/60zr1713,000
MetzelerRoadtec 01120/70zr17 – 160/60zr1712,000

4. ยางสลิค (Slick Tire)

ยางสลิค (Slick Tire) คือยางที่ใช้เฉพาะการแข่งขันรถมอเตอร์ไซค์ทางเรียบเท่านั้น ด้วยความเป็นเอกลักษณ์ของผิวยางที่เรียบไร้ลวดราย ซึ่งทำให้หลายคนเข้าใจผิดว่า ยางไม่ไมีลาย หรือยที่หลอยๆคนเรียกกันอย่างติดปากว่ายางไม่มีดอก มันจะเกาะถนนหรอ? คำตอบคือ ยางไม่มีลายประเภทนี้ คือยางทที่มีความสามารถในการยึดเกาะมากที่สุด ซึ่งความเรียบของผิวยางสลิคนั้น ทำให้เกิดหน้าสัมผัสกับพื้นผิวของสนามมากที่สุด ทำให้ผู้ขับขี่หรือนักแข่งมั่นใจและขับขี่ได้อย่างเต็มความสามารถ แต่ถึงแม้ว่ายางสลิคนั้นจะมีพลังยึดเกาะที่ดีเยี่ยม แต่ก็มีจุดอ่อนและข้อเสียอยู่ก็คือ ยางสลิคจะมีคุณสมบัติที่ลดลงเมื่อพื้นผิวเปียก เนื่องจากไม่มีลายยางที่คอยรีดน้ำ ทำให้น้ำที่อยู่บนผิวยางกลายสภาพทำหน้าที่เป็นซีลเคลือบผิวยางไว้ ทำให้เกิดการลื่นไถล และแน่นอนว่าข้อเสียที่แลกมาจากความสามารถในการยึดเกาะนั่นก็คือ ผิวยางที่หมดไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งต้องเปลี่ยนยางใหม่ทุกครั้งที่แข่งในสนามใหม่ อีกทั้งยังมีราคาค่าตัวที่สูงกว่ายางสปอร์ทอยู่พอสมควร ซึ่งแบรนด์ที่เป็นที่นิยมในยางสลิคไม่ได้เฉพาะเจาะจง แล้วแต่ความชอบความรักในแบรนด์ล้วนๆ ที่สำคัญ ยางประเภทนี้ในประเทศไทย ไม่ได้มีจำหน่ายทั่วไปอย่างแพร่หลาย ส่วนมากแล้วจะจัดจำหน่ายให้ผู้ที่เป็นนักกีฬา หรือ Pre-order เท่านั้น โดยหากไม่ใช่นักกีฬา ก็จะไม่ได้สิทธิ์ซื้อในราคาพิเศษ ซึ่งราคายางประเภทนี้ทั่วๆไปก็จะเริ่มต้นที่คู่ละประมาณ 13,000 บาทขึ้นไป แล้วแต่ขนาด และเนื้อยาง โดยแบ่งเป็นเนื้อยาง Soft, Medium, และ Hard

5. ยางวิบาก (Motocross Tire)

ยางวิบาก (Motocross Tire) ยางประเภทนี้ มีหน้าตาตะปุ่มตะป่ำ มีคุณสมบัติตระกุยดินและทรายได้ดี สามารถนำมาใช้ได้หลากหลาย ทั้งในการแข่งขันรถมอเตอร์ไซค์แบบมอเตอร์ครอส หรือการขับขี่บนทางดิน ทางลูกรัง เส้นทางทุรกันดานต่างๆ ซึ่งยางวิบาก มีชื่อเรียกแตกต่างกันออกไปแบบสั้นๆ ว่ายางบั้ง หรือยางมัด ก็แล้วแต่ว่า ใครจะเลือกเรียกแบบไหน ส่วนที่มาของชื่อ ก็มาจากหน้าตาของยางที่มีลักษณะเป็นบั้งๆ ส่วนยางมัดเข้าใจว่ามาจากสมัยที่ยังไม่มียางวิบากผลิตออกมาวางจำหน่าย มีชาวบ้านหัวใสนำยางถนนมามัดเชือกให้แน่น และถี่ในระดับหนึ่ง เติมลมยางให้พอเหมาะจนทำให้ยางถนนเรียบๆ เกิดเป็นร่องจากเชือกที่มัดยางไว้หลายๆเส้น จดกลายเป็นที่เรียกติดปากกันมาว่ายางมัด แน่นอนว่า ยางวิบาก สามารถนำมาขับขี่บนถนนคอนกรีดหรือยางมะตอยทั่วไปได้ แต่ก็จะทำให้ดอกยางหมดไว อีกทั้งการยึดเกาะยังทำได้ไม่ดีเท่ายางถนนโดยเฉพาะในทางโค้ง ส่วนข้อดีของยางวิบากที่ไม่พูดถึงไม่ได้ คือ มีราคาที่ไม่แพงมากนัก และอยู่ทน เมื่อนำมาใช้ถูกประเภท สำหรับแบรนด์ที่นิยมใช้กันในยางประเภทนี้ ไม่มีแบรนด์โปรดตายตัว เพราะเนื่องจากส่วนมากแล้ว ใช้ตระกรุยดิน หรือทราย แค่นั้น ซึ่งแบรนด์ส่วนใหญ่แข่งขันกันที่ราคามากกว่า โดยยางวิบากจะมีราคาต่อคู่เริ่มตั้นตั้งแต่ 1,000 บาท ไปจันถึง 3,000 บาท

ยี่ห้อรุ่นขนาดราคา /คู่
DuroDM111180/100-21 – 100/100-182,800

วิธีเลือกซื้อ

วิธีเลือกซื้อ แนะนำให้สอบถามจากผู้จำหน่ายในส่วนของสัปดาห์และปีที่ผลิต โดยเลือกจากสัปดาห์และปีที่ใหม่ที่สุด โดยมีวิธีดูง่ายๆ จากตัวเลข 4 หลักตามตัวอย่างในรูปเป็นชุดตัวเลข 4419 แบ่งออกเป็น เลขชุดหน้า 44XX และเลขชุดหลัง XX19 ซึ่ง 44 หมายถึงสัปดาห์ที่ผลิต โดยเราสามารถแปลงเป็นเดือนง่ายๆ คือนำตัวเลข 44÷4 = 11 ส่วนเลขชุดหลัง XX19 หมายถึงปีที่ผลิต คือปี ค.ศ. 2019 เมื่อนำมารวมกันเราจะทราบได้ว่า ยางในรูปตัวอย่าง ผลิตในสัปดาห์ที่ 4 ของเดือนพฤศจิกายน ปี 2019 ซึ่งวิธีการดูนี้ สามารถดูได้ทั้งรถยนต์และมอเตอร์ไซค์


ทั้งหมดนี้ คือ ประเภทของยางที่นิยมใช้กันหลักๆ ตามรูปแบบการใช้งาน หรือยางบางประเภท เช่นยางสปอร์ท หลายๆคนเลือกซื้อใส่กับรถคันโปรดด้วยเหตุผลที่ว่า ความมั่นใจในการขับขี่ หรือเพิ่มความสวยงาม ซึ่งก็ไม่ได้จำกัดเฉพาะประเภทรถมอเตอร์ไซค์แบบสปอร์ทเท่านั้น รถประเภทอื่นๆ ก็สามารถใส่ยางสปอร์ทได้เช่นกัน ซึ่งหากเงินไม่ใช่ปัญหา หลายคนก็พร้อมจ่าย ส่วนหลายๆคนที่ชอบความคุ้มค่า และมองถึงระยะยาว ก็จะเลือกใช้ยางแบบถนนเป็นหลัก แต่ทั้งหมดนี้ ไม่ว่ายางประเภทไหน ต่างก็มีอายุการใช้งานทั้งสิ้น ยางส่วนใหญ่ หากใช้งานถูกต้องตามประเภท ก็จะมีอายุการใช้งานได้ตั้งแต่ 10 เดือนจนไปถึง 18 เดือน (ไม่นับยางสลิค) ไม่ควรใช้ยางเกิน 2 ปี เนื่องจากสภาพยางส่วนใหญ่อาจมีสภาพที่ไม่พร้อมใช้งาน หรือคุณภาพไม่ดีเท่าที่ควร หากเป็นไปได้ โดยเฉพาะผู้ที่ใช้รถมอเตอร์ไซค์เป็นประจำ ควรเปลี่ยนยางทุกๆ 1 ปี เพื่อความปลอดภายในชีวิตและทรัพย์สินของผู้ใช้รถใช้ถนนทุกๆคน

Leave a Reply