ฟุตบอลยูโร 2020 : บทสรุปอันเร่าร้อนของพลพรรค “Azzurri”

“Cheers Euro Aerosoft!!! Cheers EuroAerosoft!!!” คงแล่นแว่วเข้ามาในหูของทุกคน ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นแฟนพันธ์แท้ของกีฬาฟุตบอลก็ตาม แต่ต้องให้เครดิตการตลาดของแบรนด์ Aerosoft จริงๆ เพราะทำให้กระแสของการแข่งขันฟุตบอลยูโร 2020 (2020 UEFA European Football Championship : Euro 2020) เป็นที่น่าติดตาม ซึ่งการที่ Aerosoft จ่ายเงินค่าลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดในเกือบจะวินาทีสุดท้าย เป็นการสร้างความสุขให้กับแฟนบอลชาวไทยจริงๆ อันนี้ขอชื่นชมจากใจแอดมิน

มาเข้าเรื่องกันดีกว่าครับ…..ทุกคนแฟนฟุตบอลชาวไทยคงเคยได้ยินฉายาของเหล่าทีมฟุตบอลในระดับทีมชาติกันมามากมายหลายทีม หนึ่งในทีมที่ฮิตติดหูที่สุดคือ “Three Lions” อังกฤษ หรือที่คนไทยให้การขนานนามว่า “ทีมขวัญใจมหาชน” เนื่องจากเพื่อนๆคงทราบดีว่า English Premier League คือลีกฟุตบอลที่แฟนบอลชาวไทยติดตามกันมากที่สุด จึงทำให้เป็นผลพวงติดสอยห้อยตามในระดับทีมชาติไปด้วย แบรนด์

แต่มีอยู่อีกหนึ่งทีมที่ได้รับเสียงกรี๊ดกร๊าดของเหล่าบรรดาแฟนบอลสาวๆไม่แพ้กัน เพราะขึ้นชื่อว่านักฟุตบอลชาตินี้หล่อที่สุดในโลก นั่นก็คือ “ทีมแห่งแดนมะกะโรนี” ทีมชาติอิตาลี และในฟุตบอลยูโร 2020 เราคงไม่พูดถึงพวกเขาไม่ได้…..

ฉายานั้นท่านได้แต่ใดมา……

ต้องบอกก่อนว่า มะกะโรนี เป็นฉายาที่คนไทยตั้งให้ เนื่องจากเป็นดินแดนที่มีอาหารหลากหลายชนิดที่เป็นเอกลักษณ์ หนึ่งในนั้นก็คือ มะกะโรนี แต่ถ้าพูดถึงฉายาที่คนทั่วโลกรู้จักนั่นก็คือ “อัซซูรี่ (Azzurri)” มีที่มาจากคำว่าอัสซูโร (Azzurro) หมายถึง สีฟ้าสว่าง โดยเป็นสีประจำราชวงศ์ “ซาวอย (Casa Savoia)” ซึ่งเป็นราชวงศ์สุดท้ายที่ครองราชจนถึงปี ค.ศ.1946 และด้วยสีเสื้อของพวกเขาทำให้ได้รับการขนานนามกับฉายา “Azzurri”

หากแต่เพียงแอดมินจะพูดว่า หลงรัก คลั่งไคล้ทีมชาติอิตาลีด้วยหน้าตาอันหล่อเหลาของนักเตะมันก็ดูกะไรอยู่ เหตุผลที่ติดตามเชียร์ทีมชาติอิตาลีนั้น ต้องย้อนความไปตั้งแต่แอดมินอายุ 9 ขวบ ตอนนั้นมีฟุตบอลโลก “World Cup 1998” แข่งขันกันที่ประเทศฝรั่งเศส โดยรอบ 8 ทีมสุดท้าย พลพรรคอัซซูรี ต้องดวลจุดโทษกับเจ้าภาพฝรั่งเศส หลังจากเสมอกันในเวลา 0-0 โดยคนสุดท้ายที่รับหน้าที่สังหาร บรุษผู้หาญกล้านามว่า “ลุยจิ ดิ เบียอาโจ้ (Luigi Di Biagio)”

ท่าทางที่เขาค่อยๆ ย่องเข้ามาซัดด้วยขวาบอลเด้งชนคานสนั่นไปทั้งสนามยังจำได้ดี พร้อมกับเสียงโห่ร้องก้องดังแสดงถึงความดีใจสุดๆของแฟนบอลเจ้าถิ่น กล้องตัดมาอีกทีภาพที่เห็นคือ Luigi Di Biagio ทรุดหงายหลังลงกับพื้นพร้อมกับน้ำตาเอ่อ ภาพนั้นมันพุ่งเข้าไปแตะต่อมความรู้สึกของแอดมินเป็นอย่างมาก และหลังจากนั้นเองจึงเริ่มศึกษาและดูฟุตบอลอิตาลีอย่างจริงๆจังๆ

ต้องลองผิดลองถูก กว่าจะได้เป็นยุคทองของอัซซูรี่อีกครั้ง

ทีมชาติอิตาลีล้มลุกคลุกคลานมาหลายครั้งก่อนที่จะมีวันนี้ กล่าวได้ว่าหลังจากจบ World Cup 98 อิตาลีสามารถกรุยทางเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศในเมเจอร์หลักอีกสามครั้งคือ Euro 2000 และ 2012 ที่ต่างแพ้ให้กับฝรั่งเศส และ สเปน ตามลำดับ

แต่ที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลย คือ การคว้าแชมป์ World Cup 2006 ที่ประเทศเยอรมันได้เป็นสมัยที่ 4 อย่างยิ่งใหญ่ จะเห็นได้ว่าเส้นทางไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เพราะอนิจจัง “การขึ้นสู่จุดสูงสุด แล้วดิ่งลงมามิด” ก็มีเช่นกัน

ใน World Cup 2010 เกิดสิ่งที่ไม่น่าเชื่อขึ้น อิตาลีตกรอบแรกโดยเป็นบ๊วยของกลุ่ม เก็บได้เพียง 2 คะแนนจากการเสมอกับปารากวัย และ นิวซีแลนด์ ก่อนจะมาปิดท้ายด้วยการพ่ายให้กับสโลวาเกียแบบช็อกโลก โดยหลายสื่อวิเคราะห์ถึงความล้มเหลวในครั้งนั้นว่า เป็นเพราะผู้เล่นอิ่มตัวกับความสำเร็จไปแล้ว เพราะโดยส่วนใหญ่เป็นผู้เล่นที่มาจากการคว้าแชมป์ World Cup 2006 รวมถึงผู้จัดการทีมอย่าง “มาร์เซโล่ ลิปปี้ (Marcello Lippi)”

แต่พีคในพีคยังมีอีกครับ ใครจะเชื่อว่าทีมยักษ์ใหญ่ที่คว้าแชมป์โลกมาถึง 4 สมัยจะไม่ได้ไปโม่แข้งในฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายที่ประเทศรัสเซียในปี 2018 เอากับเค้าสิ!! (ปีนั้นแอดมินนอนไวมาก เพราะไม่ต้องมานั่งอดตาหลับขับตานอนรอเชียร์ทีมที่รัก 555+)

ชื่อของ “จาน ปิเอโร เวนตูรา (Gian Piero Ventura)” ก็ได้ถูกจารึกไว้เรียบร้อยแล้วในนามของผู้จัดการทีมที่ไม่สามารถพาอิตาลีไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายได้

สุภาพบุรุษผู้กอบกู้นามว่า “โรแบร์โต้ มันชินี่”

“ผมจะพาอิตาลีกลับไปสู่จุดที่พวกเราควรอยู่ ณ จุดสูงสุดของยุโรปและของโลก เราไม่ได้แชมป์ฟุตบอลยูโรมาหลายปีแล้ว ดังนั้นมันจะเป็นเป้าหมายอันดับแรกของเรา” คำกล่าวแรกของกุนซือที่เคยพาแมนฯซิตี้ฯ คว้าแชมป์พรีเมียร์ ลีก อังกฤษได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร “โรแบร์โต้ มันชินี่ (Roberto Mancini)” ได้กล่าวไว้ในวันแรกที่รับงานคุมทีมชาติอิตาลีเมื่อสามปีที่แล้ว

ซึ่งหลายคนก็ไม่ได้รู้สึกยินดียินร้ายกับประโยคเหล่านั้นเท่าใดนัก เพราะมันเป็นแพทเทิร์นสูตรสำเร็จที่ผู้จัดการทีมทุกคนจะพูดหลังจากได้รับงานใหม่อยู่แล้ว เพียงแต่ผลงานในสนามเท่านั้นจะเป็นเครื่องพิสูจน์

ฟุตบอลอิตาลีที่เรารู้จักกันและสไตล์การเล่นไม่เปลี่ยนแปลงมายาวนาน คือ “บอลน่าเบื่อ” พูดง่ายๆคือ สโลแกนต้องรับเหนียวแน่นไว้ก่อน ไม่เน้นเกมบุก การยิงประตูได้มากกว่าหนึ่งลูกในหนึ่งนัดถือว่าเป็นเรื่องพิเศษกับอิตาลีในยุคก่อนๆ แต่ “มันโช่” (ชื่อเล่นของมันชินี่) ได้ค่อยๆปรับเปลี่ยนสไตล์และรูปแบบการเล่นให้เห็น

“Rome doesn’t Build in One Day (กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จเพียงแค่วันเดียว)” เป็นการอธิบายได้ตรงตัวที่สุด

มันชินี่แสดงปรัชญาออกมาอย่างชัดเจนว่า อิตาลีภายใต้การคุมทีมของเขา ต้องเล่นแบบงานศิลปะ มีความปราณีตในทุกรายละเอียด ตั้งใจจดจ่อและมีสมาธิตลอดทั้งเกม ไม่ท้อถอยที่จะหาแนวทางใหม่ๆมาเคลื่อนเกมอยู่ตลอดเวลา ดังที่ได้เห็นจากการเปลี่ยนแปลงแก้ไขเกมอย่างรวดเร็วทันใจ ปรับหมากเปลี่ยนตัวสำรองกันอย่างสนุกมือ ซึ่งถือว่าเขาใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ได้อย่างคุ้มค่า โดยเป็นทีมเดียวใน Euro 2020 ที่ให้ผู้เล่นลงสนามรวม 25 จาก 26 คนที่ส่งรายชื่อไป การใส่ใจความรู้สึกของผู้เล่นที่พยายามให้ได้ลงไปสัมผัสกับบรรยากาศของการแข่งขันอันยิ่งใหญ่ คนละเล็กคนละน้อยก็ยังดี นั่นแหละเป็นจุดเล็กๆที่เอาชนะใจลูกทีมได้มหาศาล

SuperStar ของอิตาลีในฟุตบอลยูโร 2020 ชุดนี้คือใคร?

นั่งยัน ยืนยัน และนอนยันกันเลยว่า ซูเปอร์สตาร์ที่แบบดังเปรี้ยงปร้างในโลกลูกหนังของอิตาลีชุดลุยศึกฟุตบอลยูโร 2020….ไม่มีครับ! ถ้าเทียบกับสมัยก่อนอิตาลีจะมีนักเตะที่เรียกว่า “ตัวชูโรง” ที่เป็นผู้นำในเรื่องความสำคัญกับทีม ไม่ว่าจะเป็นที่เรารู้จักกันดีอย่าง Robert Baggio, Franco Baresi, Paolo Maldini, Francesco Totti และ Alessandro Del Piero แต่นักเตะชุดนี้เป็นการผสมผสานกันระหว่างนักเตะดาวรุ่งพุ่งแรง นักเตะไม่ดังแต่เล่นดีในลีก แถมยังมีรุ่นพี่ตัวเก๋าคอยประคับประคองรุ่นน้อง จึงไม่น่าแปลกใจที่ก่อนหน้าจะเริ่มฟุตบอลยูโร 2020 อิตาลีไม่ได้อยู่ในตัวเต็งแชมป์เลยด้วยซ้ำ

ถึงแม้ชุดนี้จะไม่มีซุปตาร์ยืนหนึ่ง แต่พลพรรคอัซซูรี่กำลังเข้าใกล้สถิติใหม่ที่น่าท้าทายอย่างมาก นั่นคือการไม่แพ้ใครติดต่อกันมากที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลระดับชาติ โดยตอนนี้ทำได้แล้ว 34 นัด (ทำลายสถิติของตัวเองที่เคยทำไว้ในปี 1935-1939 ที่ 30 นัด) เหลือเพียงอีกนัดเดียว อิตาลีก็จะทำสถิติไม่แพ้ใครติดต่อกัน 35 นัด ซึ่ง บราซิล และ สเปน เป็นเจ้าของสถิติร่วมอยู่

จุดเล็กๆที่เป็นเคล็ดลับแห่งชัยชนะที่สมบูรณ์แบบ

– Concept ของชุดแข่งขัน

ทีมชาติอิตาลีใน Euro 2020 มาในแนวคิด “Renaissance’ (Rinascita)” หรือการกลับมากำเนิดใหม่ ซึ่งสื่อถึงยุคสมัยเรเนสซองส์ที่กำเนิดยอดศิลปินมากมาย ผลงานของพวกเขาเหล่านั้นยังคงเป็นงานศิลปะชิ้นเอกของโลกอยู่จวบจนทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็น Leonardo Da Vinci (ผลงาน : Mona Lisa), Michelangelo Antonioni (ผลงาน : King David),​ Raphael (ผลงาน : La Fornarina) และ Donatello (ผลงาน : David) และคนอื่นๆอีกมากมาย แรงบันดาลใจจากยุคสมัยดังกล่าวเข้ากับพลพรรคอัซซูรี่ในยุคนี้ได้เป็นอย่างดี

– การตะโกนร้องเพลงชาติอย่างบ้าคลั่ง

หลายคนบอกว่ากลเม็ดเคล็ดลับอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้ลูกทีมของโรแบร์โต้ มันชินี่ ประสบความสำเร็จนั่นก็คือ การปลุกใจของทุกๆคนในทีมยามที่ลงสนามไปแข่ง ต้องสู้ชนิดพลีชีพเพื่อทำให้ได้ผลการแข่งขันที่ทุกคนในชาติต้องการ เพราะคุณคือตัวแทนของคนทั้งชาติ!! ดั่งเช่นการแสดงออกจากการร้องเพลงชาติก่อนลงแข่งในแต่ละนัด ที่แต่ละคนจะตะโกนแหกปากร้องกันอย่างบ้าคลั่ง!

เพลงชาติของอิตาลีขึ้นชื่อว่าเป็นเพลงชาติที่ “น่ากลัวที่สุด” ไม่ใช่เป็นเพียงเพราะอากัปกิริยาของนักเตะเวลาร้องเพียงเท่านั้น แต่เนื้อหายังกล่าวถึง การปลุกเร้าให้พี่น้องชาวอิตาเลียนทุกคน หันมาเข้าร่วมกับกองทัพเพื่อสร้างความยิ่งใหญ่ไร้เทียมทานให้กับกรุงโรมในอดีต เป็นนักรบชุดเกราะและพร้อมจะรับทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้น ไม่เว้นแม้แต่ความตาย

ซึ่งเพลงชาติของประเทศอื่นส่วนใหญ่มักจะพูดไปในหัวเรื่องเดียวกันนั่นคือ การรักชาติ ความสามัคคี หรือการสละชีพเพื่อชาติในท่วงทำนองที่นุ่มนวล ชวนเคลิ้ม แต่เพลง Il Canto degli Italiani (แปลว่า “เพลงเพื่ออิตาเลียน”) มาในทำนองฮึกเหิม ดุดัน ใครที่ได้ฟังย่อมนึกถึงภาพสงครามที่กำลังรบกันอย่างไม่เกรงความตาย ทำหน้าที่ปลุกเร้าทั้งนักเตะและกองเชียร์ได้อย่างไม่มีที่ติ

ที่มา : https://twitter.com/espnfc

เมื่อแปลเป็นไทยแล้ว เนื้อหาจะประมาณว่า “เหล่าพี่น้องชาวอิตาลี ประเทศของเราจะอยู่ค้ำฟ้า ด้วยหมวกและชุดเกราะของแม่ทัพชิปิโอ (แม่ทัพแห่งอาณาจักรโรมันผู้พิชิตแอฟริกา) ที่ท่านได้สวมไว้ ชัยชนะอยู่ที่ไหน? จงมอบมันมาให้กับเรา เพราะมันคือทาสรับใช้ เพื่อกรุงโรม พระเจ้าสร้างมันขึ้นมาและโปรดให้ข้าเข้าร่วมกับเหล่าวีรชน…. ใช่!!! เราพร้อมจะตายเพื่อชาติแล้ว…..” สุดไหมล่ะครับ!!!

นี่คือทั้งหมดทั้งมวลของบทสรุป Euro 2020 กับฟอร์มอันเร่าร้อนของทีมชาติอิตาลี ที่คว้าแชมป์ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปได้เป็นสมัยที่สอง โดยสื่อหลายสำนักอ้างอิงว่า นี่คือจุดสูงสุดของทีมชาติอิตาลี แต่แอดมินมองว่ามันเป็นจุดเริ่มต้นยุคทองของเหล่าพลพรรค “Azzurri” อีกครั้งต่างหาก Forza Italia!!!! Forza Italia!!!!

ขอบคุณข้อมูล : https://thestandard.co https://www.thairath.co.th/sport https://www.mainstand.co.th
บทความที่น่าสนใจ : https://www.thekooroo.com/content/

Leave a Reply