ยูโร 2020 : เรื่องราวควรค่าแก่การจดจำ

ฟุตบอลยูโร 2020

ถึงแม้ว่าฟุตบอลยูโร 2020 จะผ่านไปแล้ว แต่ก็ได้มีหลากหลายเรื่องราวมากมายเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสีสันที่น่ารักๆ เหตุการณ์ช็อกโลก หรือแม้กระทั่งเกร็ดเล็กๆน้อยๆ เป็นต้น วันนี้ทีมงาน The KooRoo จึงขอประมวลภาพมาให้เพื่อนๆได้อ่านกัน

1.) วินาทีหยุดโลกกับ Christian Eriksen

เดนมาร์ก หรือที่แฟนๆบ้านเราเรียกกันติดปากว่า “ทัพโคนม” ลงเล่นในฐานะทีมที่มีโอกาสเข้ารอบลึกๆอยู่ไม่น้อย อาจเป็นเพราะด้วยผลงานในศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปที่ผ่านมา เคยสามารถก้าวขึ้นไปเป็นแชมป์ Euro 1992 อย่างพลิกความคาดหมาย

ในยุคนั้น การแข่งขันรอบสุดท้ายมีอยู่ 8 ทีม เดนมาร์กตกรอบคัดเลือก แต่มีเหตุการณ์ไม่คาดฝันก่อนทัวร์นาเม้นท์เริ่มขึ้นเพียงแค่ 10 วัน เนื่องจากยูฟ่าได้ประกาศตัดสิทธิ์ทีมชาติยูโกสลาเวียไม่ให้ร่วมการแข่งขันเพราะปัญหาการเมืองภายในประเทศ เพราะฉะนั้นเดนมาร์กมีเวลาเตรียมทีมเพียงแค่สัปดาห์เศษๆ แต่กลับล้มเยอรมัน ทีมเต็ง 1 ที่เต็มไปด้วยซูเปอร์สตาร์อย่าง Jürgen Klinsmann, Stefan Effenberg, Matthias Sammer ด้วยสกอร์ 2-0 จากการยิงของ John Jensen และ Kim Vilfort ทำให้คว้าแชมป์ไปได้เป็นสมัยแรก

เพราะฉะนั้นจึงไม่น่าแปลกใจว่าในยูโร 2020 ทัพโคนมอาจหักปากกาเซียนเหมือนที่เคยทำได้่ หันกลับไปอ่านรายชื่อผู้เล่นของเดนมาร์กชุดนี้แล้ว แฟนบอลร้องว้าวอยู่หลายคน ไม่ว่าจะเป็น Kasper Schmeichel ลูกชายแท้ๆของ Peter Schmeichel ผู้รักษาประตูสุดเหนียวหนึบที่พาเดนมาร์กคว้าแชมป์ได้ใน Euro 92, Andreas Christensen กองหลังที่เพิ่งพาเชลซีคว้าแชมป์ Uefa Champions League มาหมาดๆ, Yussuf Poulsen กองหน้าผมหยิกยิงกระจายจาก RB Leipzig ใน Bundesliga ลีกสูงสุดของเยอรมัน

และคนหนึ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือ “Christian Eriksen” กองกลางจอมเทิคนิคจาก Inter Milan สโมสรยักษ์ใหญ่ใน Seria A ลีกสูงสุดของอิตาลี แต่เกือบไปแล้วครับ…. เกือบจะเป็นทัวร์นาเม้นท์สุดท้ายในชีวิตของเขา….

เกมนัดแรกในยูโรครั้งนี้ของทัพโคนม ต้องลงสนามพบกับฟินแลนด์ ช่วงท้ายครึ่งแรกได้มีเหตุการณ์ช็อกโลกหลังจากที่ Eriksen เกิดหมดสติและล้มฟุบคาสนาม ทันใดนั้นเองผู้เล่นทั้งสองทีมรีบกวักมือเรียกแพทย์ประจำทีมให้รีบลงมาดู โดยเป็นธรรมเนียมอยู่แล้วที่กล้องถ่ายทอดสดจะไม่เจาะภาพเข้าไปใกล้เหตุการณ์มากนัก เพื่อป้องกันภาพรุนแรงหรือกระทบกระเทือนจิตใจของคนที่ดูถ่ายทอดสดอยู่ทั่วโลก

ท่ามกลางความเงียบสงัดของผู้ชมในสนามกว่าหมื่นคน หัวใจแฟนบอลทั้งโลกก็เกือบจะหยุดเต้นตามไปด้วย แต่ก็นั่นแหละครับ…. เมื่อกล้องยิ่งหลบ เราก็ยิ่งยิ่งอยากรู้! บางช็อตเราได้เห็นภาพของแพทย์สนามที่ลงมาสมทบกำลังปั๊มหัวใจ หรือแม้กระทั่งการเห็นผู้เล่นของเดนมาร์กหลังน้ำตากันอยู่เนืองนิด มันเป็นสัญญาณที่ไม่ดีเอาซะเลย…..

การปฐมพยาบาลนานกว่า 20 นาที ก่อนที่จะมีการเคลื่อนย้ายตัว Eriksen ออกมาเพื่อนำส่งโรงพยาบาลที่อยู่ห่างจากสนามไม่ถึงหนึ่งกิโลเมตร ซึ่งมีการทำฉากกั้นไม่ให้เห็นสภาพของเขาอยู่ตลอดทางในการนำริมสนามจนถึงรถพยาบาล หลังจากนั้นฝ่ายจัดการแข่งขันให้ทุกคนรอประมาณหนึ่งชั่วโมงเพื่อประกาศความเคลื่อนไหวต่อไป แต่ยุคนี้ในยุคของ 5G บรรดาแหล่งข่าวตาม Social Network ทั้งหลายปล่อยข่าวออกมาเท็จบ้างจริงบ้าง

แต่สิ่งที่เตะตาแอดมินและทำให้ยิ้มได้คือ ภาพของ Eriksen ผงกหัวขึ้นมาเล็กน้อย ตอนถูกเคลื่อนย้ายออกจากสนาม หลังจากนั้นก็มีข่าวดีทยอยอัพเดทมาเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นการที่ตัวเขาหายใจเองได้แล้ว, มีปฏิกิริยาตอบสนองกับแพทย์ หรือพ้นขีดอันตราย เป็นต้น

เกมนัดนั้นลงมาแข่งกันใหม่ในเวลาที่เหลือ แต่ร่างกายไฉนจะมาสำคัญกว่าจิตใจ การเห็นภาพเพื่อนเพิ่งหัวใจวายไปต่อหน้าต่อตามันส่งผลให้นัดนั้นเดนมาร์กพ่ายฟินแลนด์ไป 0-1 ถึงแม้ว่า Christian Eriksen จะปลอดภัยดีและแข็งแรงขึ้นในตอนนี้ แต่เท่ากับอาชีพค้าแข้งของเขาต้องจบลงไปโดยปริยาย…..

2.) เงินรางวัลในแต่ละรอบของการแข่งขัน

ทุกรายการแข่งขัน นอกจากการประสบความสำเร็จเพื่อชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลแล้ว คงปฏิเสธไม่ได้ว่าอีกหนึ่งปัจจัยที่ช่างเย้ายวนเสียเหลือเกินก็คือ เงินรางวัล โดย Euro 2020 ถือว่าเป็นการแข่งขันฟุตบอลยูโรที่จัดสรรปันส่วนเงินรางวัลให้แก่ทีมฟุตบอลมากที่สุดในประวัติศาสตร์ตั้งแต่มีการแข่งขันมา และแน่นอนว่าส่งผลให้เงินรางวัลที่ทีมฟุตบอลของแต่ละชาติจะได้รับจากการเข้าร่วมแข่งขันเพิ่มมากขึ้นไปด้วย

สหพันธ์ฟุตบอลยุโรป หรือ ยูฟ่า (Union of European Football Associations: UEFA) ตั้งเงินรางวัลรวมใน Euro 2020 สำหรับทีมฟุตบอลทั้งหมด 24 ทีมไว้ราว 371 ล้านยูโร (ประมาณ 14,005 ล้านบาท) ซึ่งเพิ่มขึ้นจากการแข่งขัน Euro 2016 ถึง 70 ล้านยูโร (ประมาณ 2,642 ล้านบาท) กันเลยทีเดียว ถ้าคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ คือ เพิ่มขึ้น 23.25 เปอร์เซ็นต์จากการแข่งขันฟุตบอลยูโรครั้งก่อน ถือว่าเป็น Rate ที่เย้ายวนเหล่าบรรดาทีมที่ได้มาแข่งรอบสุดท้ายเป็นอย่างมาก

ส่วนลำดับขั้นของการได้รับเงินรางวัลมีดังนี้

  • แรกเริ่มเลยทั้ง 24 ทีมที่เข้าร่วมการแข่งขัน Euro 2020 รอบสุดท้าย จะได้รับเงินค่าธรรมเนียมการเข้าร่วมแข่งขันทีมละ 9.25 ล้านยูโร (ประมาณ 349 ล้านบาท)
  • ในรอบแรก (รอบแบ่งกลุ่ม) ทีมชนะในแต่ละนัดจะได้รับโบนัส 1.5 ล้านยูโร (ประมาณ 57 ล้านบาท) ทีมที่เสมอจะได้รับโบนัสลดลงมาครึ่งหนึ่งราว 750,000 ยูโร (ประมาณ 28 ล้านบาท) และสุดท้ายทีมที่แพ้ถึงแม้จะดูใจร้ายไปหน่อย แต่พวกเขาจะไม่ได้เงินโบนัสเลย
  • ทีมที่เข้ารอบ 16 ทีมสุดท้าย จะได้รับเงินทีมละ 2 ล้านยูโร (ประมาณ 75.5 ล้านบาท)
  • ทีมที่เข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายจะได้รับเงินเพิ่มอีกทีมละ 3.25 ล้านยูโร (ประมาณ 122.7 ล้านบาท)
  • ทีมที่เข้ารอบรองชนะเลิศ (จำนวน 4 ทีม) จะได้รับเงินเพิ่มอีกทีมละ 5 ล้านยูโร (ประมาณ 189 ล้านบาท)
  • มาถึงไฮไลท์ในรอบชิงชนะเลิศ ทีมที่คว้าสามารถคว้าแชมป์ Euro 2020 จะได้รับเงินรางวัล 10 ล้านยูโร (ประมาณ 377.5 ล้านบาท) ส่วนรองแชมป์จะได้รับเงินรางวัล 7 ล้านยูโร (ประมาณ 264.25 ล้านบาท)

เรียกได้ว่าเงินรางวัลปลอบใจของ Euro 2020 สำหรับทีมที่ไม่สามารถเก็บชัยชนะได้เลยจะรับเงินกลับบ้านราว 9.25 ล้านยูโร (ประมาณ 349 ล้านบาท) และถ้าหากแชมป์แข็งแกร่งเกินต้านทานสามารถชนะคู่แข่งได้ทุกนัดในรอบแบ่งกลุ่ม และกรุยทางมาเรื่อยๆจนคว้า Trophy กลับบ้านได้ พวกเขาขะได้รับเงินจำนวนสูงสุดอยู่ที่ 34 ล้านยูโร (ประมาณ 1,283.5 ล้านบาท) ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 7 ล้านยูโร (ประมาณ 264.25 ล้านบาท) จาก Euro 2016 อย่างที่ทัพอัซซูรี่ทำได้

ซึ่งนี่ยังไม่นับรวมที่แต่ละทีมจะได้รับเงินอัดฉีดจากสมาคมฟุตบอลภายในประเทศของตัวเอง หรือจากสปอนเซอร์อย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการ ซึ่งถ้าทำผลงานได้ดีจำนวนเงินอัดฉีดก็จะมากตามไปด้วยนั่นเอง

3.) Tiny Football Car ผู้เชิญลูกฟุตบอลยูโร 2020

พิธีเปิดเป็นหนึ่งในไฮไลท์ที่ผู้คนทั่วทั้งโลกจับตามองไม่ว่าจะเป็นเรื่องแสง สี เสียง หรือแขกรับเชิญที่จะมาสร้างสีสัน โดยเฉพาะในยุคที่โลกกำลังเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ “New Normal” ทุกย่างก้าวในวันนั้นถือเป็นส่วนสำคัญทางการตลาดที่จะทำให้ทัวร์นาเม้นท์นั้นปังปุริเย่หรือไม่!

ในหนนี้ก็เช่นกัน นอกจากพิธีเปิดแล้วยังมีสิ่งที่น่าสนใจและบอกได้เลยว่าไม่เคยเห็นที่ใดมาก่อน!! เรียกว่าเจ้า Tiny Football Car ได้ขโมยซีนไปโดยสิ้นเชิง แถมได้รับเสียงฮือฮากันไปทั่วสนามสำหรับผู้เชิญลูกบอลขนาดกะทัดรัดสุดเท่คันนี้

Tiny Football Car เป็นรถยนต์บังคับวิทยุยี่ห้อ “Volkswagen (โฟล์คสวาเก้น)” บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ชื่อดังของประเทศเยอรมัน และแน่นอนครับ เป็นหนึ่งในสปอนเซอร์หลักของการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปครั้งนี้ด้วย มาพร้อมกับ Concept สุดเก๋ “We Drive Football” ซึ่งแปลความหมายก็คือ แบรนด์ผู้ขับเคลื่อนโลกฟุตบอล

เราเห็นกันครั้งแรกในนัดเปิดสนามระหว่าง อิตาลี พบกับ ตุรกี โดยมีทีมผู้จัดใช้รีโมทคอนโทรลบังคับนำลูกบอลเข้าไปที่จุดกลางสนาม Stadio Olympico ในประเทศอิตาลี ก่อนที่ผู้ตัดสินในวันนั้นจะบรรจงก้มหยิบขึ้นมา แหม่….ก็ต้องยอมรับงานครีเอทีฟของพี่โฟล์คว่าทำได้น่าตื่นตาตื่นใจดีทีเดียว

4.) แฟนบอลเต็มความจุ “Puskas Arena”

อีกหนึ่งเหตุการณ์ที่ยกขึ้นมาเป็นเรื่องราวที่ต้องจดจำใน Euro 2020 ก็คือ การที่ประเทศฮังการี ซึ่งได้รับหน้าที่เป็นหนึ่งในเจ้าภาพ ปล่อยแฟนบอลเต็มความจุของสนาม Puskas Arena ในเมือง Budapest ที่มีความจุ 67,215 คน หลังประชาชนฉีดวัคซีนป้องกัน Covid-19 เกินครึ่งประเทศไปแล้ว ซึ่งถาพนี้เป็นภาพที่เราไม่ได้เห็นกันมานานมากหลังจากยุคที่ Covid-19 ครองโลก โดยในวันนั้นโปรตุเกสไว้ลายแชมป์เก่าไล่ต้อนเอาชนะฮังการี 3-0

ถึงแม้สังเวียนการแข่งขัน Euro 2020 ของประเทศอื่นๆที่เป็นเจ้าภาพเหมือนกัน จะจำกัดจำนวนการเข้าชมของแฟนบอล แต่ที่ฮังการี ปล่อยให้ทุกคนเข้ามาชมได้เต็มความจุของสนาม โดยในนัดนั้นมีแฟนบอลเข้ามาร่วมกันสร้างประวัติศาสตร์ราว 55,000 คน ซึ่งเป็นยอดผู้ชมที่มากที่สุดเมื่อเทียบกับสนามอื่นๆ และที่สำคัญทุกคนในสนามแทบจะไม่ใส่หน้ากากปิดปากกันเลย!

แต่อย่างไรก็ตาม การปล่อยแบบนี้ใช่ว่าจะไม่มีมาตรการที่เข้มงวดสำหรับ Covid-19 โดยนาย Viktor Orbán นายกรัฐมนตรีของประเทศฮังการี ประกาศกร้าวก่อนเริ่ม Euro 2020 ว่าจะอนุญาตให้แฟนบอลสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติกันเสียที เนื่องจากมีการฉีดวัคซีนป้องกัน Covid-19 ให้ประชากรเกินครึ่งแล้ว ทุกคนสามารถเข้ามาเชียร์ทีมที่รักใน Euro 2020 ครั้งนี้ได้แบบจัดเต็ม เรียกได้ว่าได้เท่าไหร่ก็ยัดเท่านั้น!! โดยอยู่บนมาตรการการตรวจสอบที่เคร่งครัด นั่นก็คือ

  • แฟนบอลคนใดจะเข้ามาเชียร์ในสนาม ต้องมีผลตรวจ Covid-19 เป็นลบในช่วงไม่เกิน 72 ชั่วโมงก่อนวันแข่งขัน
  • แฟนบอลทุกคนต้องมีหลักฐานยืนยันว่า ได้ฉีดวัคซีนป้องกัน Covid-19 ครบทั้งสองโดสแล้ว ถึงจะได้สิทธิ์เข้ามาชมเกมในสนาม

5.) Leonardo Bonucci กับการดื่มฉลองต่อหน้าสื่อ

เชื่อว่าแฟนบอล Azzurri ต้องรู้จักกองหลังจอมแข็งแกร่งอย่าง Leonardo Bonucci ซึ่งใน Euro 2020 เขาทำหน้าที่เป็นรองกัปตันทีมด้วย โดยถ้าดูจากบุคลิกนิสัยของเขาเวลาให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อก็จะมีความยียวนกวนประสาทเป็นเอกลักษณ์เฉพาะอยู่แล้ว และครั้งนี้ก็เช่นกัน…..

Leonardo Bonucci โชว์การดื่มเครื่องดื่มสองยี่ห้อระหว่างแถลงข่าวหลังเกม โดยดื่มทั้งน้ำอัดลมและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นสปอนเซอร์หลักของการแข่งขัน Euro 2020 โดยก่อนหน้านี้มีประเด็นการเคลื่อนย้ายขวดเครื่องดื่มในห้องแถลงข่าว Euro 2020 ด้วยฝีมือของ Superstar ถึงสองคน ทั้ง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ (Christiano Ronaldo) และปอล ป๊อกบา (Paul Pogba) ทำให้เป็นไวรัลสุดฮิตในโลก Social Network มาแล้ว โดย Bonucci ได้เดินเข้ามานั่งและหยิบดื่มพร้อมพูดว่า “ผมสมควรได้ดื่มเบียร์นี้!! คืนนี้ผมจะดื่มมันทุกอย่างนี่แหละ!!!!”

ที่มา : https://www.youtube.com/

โดยก่อนหน้านี้ Christiano Ronaldo กองหน้าทีมชาติโปรตุเกสเอาขวดน้ำอัดลมออกห่างจากโต๊ะแถลงข่าว พร้อมกับบอกว่าทุกคนควรดื่มน้ำเปล่ามากกว่า ส่วน Paul Pogba กองกลางทีมชาติฝรั่งเศส ซึ่งเป็นชาวมุสลิมก็หยิบขวดเบียร์ออก เพราะตามหลักศาสนาห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั่นเอง

นี่คือบทสรุปทั้งหมดของเรื่องราวควรค่าแก่การจดจำใน Euro 2020 ที่ทีมงาน The KooRoo นำมาฝากกัน เพื่อนๆมีเหตุการณ์ใดประทับใจเข้ามาแชร์แบ่งปันกันหน่อยนะครับ……

ขอบคุณข้อมูล : https://thestandard.co /// https://www.komchadluek.net /// https://www.thairath.co.th

บทความที่น่าสนใจ : https://www.thekooroo.com/content/

Leave a Reply